วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา
https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD
<p><strong><img src="https://so20.tci-thaijo.org/public/site/images/thatchai/136b9f31-b7f2-4ef6-9d48-f3048af63870.jpg" alt="" width="735" height="232" /></strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์ของวารสาร</strong></p> <p> วารสารเปิดรับผลงานวิชาการที่จะลงตีพิมพ์ในวารสาร เป็นผลงานวิชาการทางการศึกษา การบริหาร และนิเทศทางการศึกษา และผลการค้นคว้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ในรูปแบบบทความวิจัย และบทความทางวิชาการ มีเนื้อหาสาระน่าสนใจ เป็นประโยชน์ เป็นการสร้างความรู้ใหม่ และเป็นบทความที่ยังไม่เคยตีพิมพ์หรือเผยแพร่ในวารสารหรือเอกสารอื่นๆ มาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาพิมพ์เผยแพร์ในวารสารใด ๆ</p>
th-TH
วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา
-
การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครใูนสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2
https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/637
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครู และ 2) พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครู วิธีดำเนินการวิจัย แบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 306 คน ได้มาโดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า ระยะที่ 2 การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครู กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ครู จำนวน 5 คน และผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโปรแกรม จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโปรแกรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. สภาพปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ สภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การออกแบบการจัดการเรียนรู้ และลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การออกแบบการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การพัฒนาหลักสูตร การใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ ตามลำดับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ผลการพัฒนาโปรแกรม ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) เนื้อหา 4) วิธีพัฒนา และ 5) การประเมินผลโปรแกรม ซึ่งผลการประเมินโปรแกรมโดยรวม มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</span></p>
สุทธิดา เทียงภักดิ์
โกวัฒน์ เทศบุตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-26
2025-12-26
16 3
1
15
-
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นพลเมืองดิจิทัลของครู สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลนครยะลา จังหวัดยะลา
https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/640
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับความเป็นพลเมืองดิจิทัลของครู และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นพลเมืองดิจิทัลของครู กลุ่มตัวอย่างได้แก่ บุคลากรทางการศึกษาสังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลนครยะลา จังหวัดยะลา ปีการศึกษา 2568 จำนวน 169 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยเทียบสัดส่วนจากตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน แล้วสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยวิธีจับสลาก เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.971 และ 0.938 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก <br />2) ความเป็นพลเมืองดิจิทัลของครู โดยภาพรวมอยู่ระดับมากที่สุด และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นพลเมืองดิจิทัลของครู โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลาง อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .01</p>
ธีระศักดิ์ อินตัน
ศิลป์ชัย สุวรรณมณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-26
2025-12-26
16 3
16
31
-
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับสมรรถนะของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1
https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/649
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาสมรรถนะของครู และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารกับสมรรถนะของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 กลุ่มตัวอย่างคือข้าราชการครู จำนวน 283 คน กำหนดโดยสูตรของ Taro Yamanee (1973) ใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดสถานศึกษา และสุ่มอย่างง่าย โดยการจับสลาก เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ชนิด 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น .979 สำหรับภาวะผู้นำทางวิชาการ มีจำนวน 5 ด้าน 37 ข้อ และ .983 สำหรับสมรรถนะของครู มีจำนวน 11 ด้าน 40 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">2) สมรรถนะของครู โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด และ </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">3) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับสมรรถนะของครู อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</span></p>
วรารัตน์ สุวรรณธนะ
ศิลป์ชัย สุวรรณมณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-26
2025-12-26
16 3
32
48
-
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารกับการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง
https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/659
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) </span><span style="font-weight: 400;">ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหาร</span><span style="font-weight: 400;">สถานศึกษา </span><span style="font-weight: 400;">2) </span><span style="font-weight: 400;">การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา </span><span style="font-weight: 400;">และ 3) ความสัมพันธ์</span><span style="font-weight: 400;">ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารกับการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง ปีการศึกษา 2568 จำนวน 277 คน ได้จากการคำนวณตามสูตรของ Taro Yamane และใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดของสถานศึกษา จากนั้นสุ่มอย่างง่ายด้วยการจับสลาก ใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 60 ข้อ ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .953 แบบสอบถามเกี่ยวกับการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .961 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">1) ภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก</span></p> <p><span style="font-weight: 400;"> 2) การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก และ </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">3) </span><span style="font-weight: 400;">ความสัมพันธ์</span><span style="font-weight: 400;">ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารกับการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง โดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง (r = .911**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</span></p>
ณัฐรุจา เกลี้ยงสง
ศิลป์ชัย สุวรรณมณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-26
2025-12-26
16 3
49
65
-
ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้อำนาจของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิภาพการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2
https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/664
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาการใช้อำนาจของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาประสิทธิภาพการทำงานของครู และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้อำนาจของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิภาพการทำงานของครู กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู จำนวน 293 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Krejcie and Morgan และสุ่มแบบแบ่งชั้น ตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามการใช้อำนาจของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าความเชื่อมั่น .921 และแบบสอบถามประสิทธิภาพการทำงานของครู มีค่าความเชื่อมั่น .908 การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</span><span style="font-weight: 400;"> </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">1) การใช้อำนาจของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">2) ประสิทธิภาพการทำงานของครู โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก และ </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">3) ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้อำนาจของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิภาพการทำงานของครู โดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง r = .714 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</span></p>
อาซีญา โสะเบ็ญอาหลี
ศิลป์ชัย สุวรรณมณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-26
2025-12-26
16 3
66
80
-
Pre-Service teachers’ Perceptions of English Medium Instruction in an EFL Context
https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/668
<p><span style="font-weight: 400;">English medium instruction (EMI) has become a global trend in higher education, particularly in non-English-speaking countries. This study explored 176 second-year pre-service teachers during the first semester of the 2025 academic year. Data was analysed and reported based on four sections of the questionnaire: (1) factors making EMI classes difficult, (2) problems encountered in EMI classrooms, and (3) attitudes towards EMI. The study found that almost all pre-service teachers perceived</span> <span style="font-weight: 400;">EMI classes to be difficult to understand due to their limited English proficiency. When surveyed regarding potential issues in EMI classes, more than half of the students (57%) identified low comprehension of course content as the most significant problem. However, forty-eight percent agreed that English should be the medium of instruction at their university. The findings have implications for preparing students</span><strong>’</strong><span style="font-weight: 400;"> English proficiency before implementing EMI. The recruitment and assignment of EMI teachers should pay more attention to both their English proficiency and pedagogical skills in delivering content knowledge clearly and comprehensibly.</span></p>
Vannisa Vannisa
Sudares Sirisittanapak
In-on Leoprasertkul
Chittra Chanagul
Dacha Jantakat
Parinda Yawongsa
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-26
2025-12-26
16 3
81
92
-
ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2
https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/663
<p> <span style="font-weight: 400;">การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาจากมุมมองของครู 2) ศึกษาระดับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 3) ศึกษาปัจจัยของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 เป็นการศึกษาเชิงสํารวจ กลุ่มตัวอย่างคือครู จำนวน 365 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยตารางสําเร็จรูป Cohen ระดับความเชื่อมั่น 95% คุณภาพเครื่องมือมีค่า 0.965 สถิติที่ใช้คือค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และสถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการศึกษาพบว่า </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">1) ระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ภาพรวมอยู่ในระดับมาก </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">2) ระดับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ภาพรวมอยู่ในระดับมาก </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">3) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์กับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับปานกลาง (rxy = 0.650) </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">4) ปัจจัยของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 42.5 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการกำหนดวัตถุประสงค์ของกลยุทธ์ มีอิทธิพลมากที่สุดรองลงมาคือด้านผู้นำที่มีความคิดความเข้าใจ และด้านคุณธรรมจริยธรรม มีนัยสำคัญทางสถิติ .01 สามารถเขียนสมการพยากรณ์ได้ดังนี้</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ คือ</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">Ŷ</span><span style="font-weight: 400;"> = 2.047 + 0.192X</span><span style="font-weight: 400;">1</span><span style="font-weight: 400;"> + 0.142X</span><span style="font-weight: 400;">4</span><span style="font-weight: 400;"> + 0.096X</span><span style="font-weight: 400;">5</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน คือ</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">Ẑŷ</span><span style="font-weight: 400;"> = 0.276z</span><span style="font-weight: 400;">1</span><span style="font-weight: 400;"> + 0.196z</span><span style="font-weight: 400;">4</span><span style="font-weight: 400;"> + 0.155z</span><span style="font-weight: 400;">5</span></p>
วัชรโชค สมานพันธ์
สุภาวดี ลาภเจริญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-26
2025-12-26
16 3
93
113
-
ผลการพัฒนาครูด้วยกระบวนการออกแบบการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/667
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการพัฒนาครูด้านการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยประยุกต์แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ตรวจสอบความถูกต้องและเหมาะสมโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน 2) ทดลองใช้รูปแบบกับกลุ่มตัวอย่างครู 30 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ พัฒนาผ่านกิจกรรมอบรม การโค้ช การเรียนแบบออนไลน์ และ</span><span style="font-weight: 400;">กระบวนการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้</span><span style="font-weight: 400;"> ประเมินผลด้วยแบบทดสอบความรู้ แบบประเมินสมรรถนะ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้คือค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทีแบบกลุ่มสัมพันธ์กันในการเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังพัฒนา</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">1) รูปแบบมี 6 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการพัฒนาเครื่องมือ และการประเมินผล ครอบคลุม 4 หน่วย ได้แก่ การวางแผนการสอน การเตรียมและเผยแพร่สื่อการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน และการศึกษาที่บ้าน ผลการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิพบว่าด้านความถูกต้องภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /></span><span style="font-weight: 400;">=4.72, S.D.=0.36) ด้านความเหมาะสมภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /></span><span style="font-weight: 400;">= 4.50, S.D.=0.50) </span></p> <p><span style="font-weight: 400;">2) ผลการทดลองใช้รูปแบบฯ พบว่า คะแนนความรู้หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ.05 (t = 16.25; Cohen’s d = 2.52) สมรรถนะเพิ่มจากระดับปานกลางเป็นระดับมาก (Cohen’s d = 3.06) ส่วนความพึงพอใจภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /></span><span style="font-weight: 400;"> = 4.38, S.D.=.58) สรุปได้ว่ารูปแบบฯดังกล่าวมีประสิทธิผลสูง สามารถพัฒนาความรู้และสมรรถนะครูได้อย่างมีนัยสำคัญ </span></p>
เพียงแข ภูผายาง
เทิดศักดิ์ สุพันดี
นราศักดิ์ ภูผายาง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-26
2025-12-26
16 3
114
134
-
การศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนระดับประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/638
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนระดับประถมศึกษา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร และครู จำนวน 387</span> <span style="font-weight: 400;">คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้ตารางสำเร็จรูปของ Krejeie and Morgan และสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น แบบสอบถาม มาตรประมาณค่า 5 ระดับ สภาพที่พึงประสงค์มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.80 - 1.00 มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .309 -.858 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.970 ส่วนสภาพที่เป็นจริงในปัจจุบัน มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.60 - 1.00 มีอำนาจจำแนกตั้งแต่ .410 - .849 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.973 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง</span></p> <p><span style="font-weight: 400;"> </span> <span style="font-weight: 400;">ผลการวิจัย พบว่า สภาพปัจจุบันในการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน อยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก และความต้องการจำเป็นในการพัฒนา (PNI</span><span style="font-weight: 400;">modified</span><span style="font-weight: 400;">) โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.35 แสดงว่ามีความต้องการจำเป็นในการพัฒนา เรียงลำดับ ดังนี้ 1) การจัดระบบข้อมูลนักเรียนอย่างเป็นระบบ 2) การให้คำปรึกษาและแนะแนวอย่างต่อเนื่อง 3) การคัดกรองและเฝ้าระวังความเสี่ยงของนักเรียน </span></p>
อุไร กางกรณ์
เพียงแข ภูผายาง
เทิดศักดิ์ สุพันดี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-26
2025-12-26
16 3
135
146
-
สภาพที่เป็นจริง สภาพที่ควรจะเป็น และความต้องการจำเป็นทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/547
<p><span style="font-weight: 400;">การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพที่เป็นจริง สภาพที่ควรจะเป็น และความต้องการจำเป็นทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ดำเนินการ 3 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานการจัดการเรียนการสอนวิชาเคมี 2) สังเคราะห์องค์ประกอบทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมจากแหล่งวิชาการ 10 แหล่ง และ 3) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นทักษะดังกล่าวประชากรคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 285 คน กลุ่มตัวอย่าง 164 คน ได้มาโดยใช้ตาราง Krejcie and Morgan ด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามสภาพที่เป็นจริงและสภาพที่ควรจะเป็นของทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.80-1.00</span></p> <p><span style="font-weight: 400;"> ผลการศึกษาพบว่า ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นโดยรวม PNI</span><sub><span style="font-weight: 400;">Modified</span></sub><span style="font-weight: 400;"> เท่ากับ 0.173 โดยทักษะที่มีความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ การคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม PNI</span><sub><span style="font-weight: 400;">Modified</span></sub><span style="font-weight: 400;"> เท่ากับ 0.294 รองลงมาคือ การสื่อสารและการร่วมมือ PNI</span><sub><span style="font-weight: 400;">Modified</span></sub><span style="font-weight: 400;"> เท่ากับ 0.122 และการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา PNI</span><sub><span style="font-weight: 400;">Modified</span></sub><span style="font-weight: 400;"> เท่ากับ 0.103 ตามลำดับ ทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเป็นทักษะเดียวที่มีค่าดัชนีความต้องการจำเป็นสูงกว่าค่าเฉลี่ยรวม</span></p> <p> </p>
วราจิตร พรมเกตุ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-26
2025-12-26
16 3
147
164