วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD <p><strong><img src="https://so20.tci-thaijo.org/public/site/images/thatchai/136b9f31-b7f2-4ef6-9d48-f3048af63870.jpg" alt="" width="735" height="232" /></strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์ของวารสาร</strong></p> <p> วารสารเปิดรับผลงานวิชาการที่จะลงตีพิมพ์ในวารสาร เป็นผลงานวิชาการทางการศึกษา การบริหาร และนิเทศทางการศึกษา และผลการค้นคว้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ในรูปแบบบทความวิจัย และบทความทางวิชาการ มีเนื้อหาสาระน่าสนใจ เป็นประโยชน์ เป็นการสร้างความรู้ใหม่ และเป็นบทความที่ยังไม่เคยตีพิมพ์หรือเผยแพร่ในวารสารหรือเอกสารอื่นๆ มาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาพิมพ์เผยแพร์ในวารสารใด ๆ</p> th-TH วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/222 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี มีขั้นตอนการดำเนินการวิจัยดังนี้ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหาร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูโรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวน 317 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม ระยะที่ 2 การศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหาร กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารที่มีภาวะผู้นำดิจิทัล 5 คน และผู้ทรงคุณวุฒิประเมินแนวทาง 5 คน เครื่องมือในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบประเมินแนวทาง สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหาร อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ อยู่ในระดับมาก และลำดับความต้องการจำเป็น เรียงจากมากไปหาน้อยคือ วิสัยทัศน์ดิจิทัล จริยธรรมทางดิจิทัล สมรรถนะทางเทคโนโลยี และวิถีการเรียนรู้ทางดิจิทัล 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหาร พบว่า 2.1) ด้านวิสัยทัศน์ดิจิทัล ผู้บริหารมองภาพอนาคตด้านดิจิทัลและด้านบริหารให้มีประสิทธิภาพ 2.2) ด้านสมรรถนะทางเทคโนโลยี ผู้บริหารพัฒนาความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ส่งเสริมให้ครูมีทักษะเทคโนโลยี และสร้างเครือข่ายการใช้เทคโนโลยี 2.3) ด้านวิถีการเรียนรู้ทางดิจิทัล ผู้บริหารสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ทางดิจิทัล ส่งเสริมให้ครูใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 2.4) ด้านจริยธรรมทางดิจิทัล ผู้บริหารมีความรับผิดชอบและสร้างสรรค์ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ผลการประเมินแนวทาง พบว่า มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ณัฐวัฒน์ เทศบุตร เสาวนี สิริสุขศิลป์ ปาร์พิชชา ก้านจักร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 1 18 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/512 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 45 คน และครู จำนวน 272 คนจำนวนทั้งสิ้น 317 คน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น ตามขนาดโรงเรียน ระยะที่ 2 การศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาที่โดดเด่นด้านภาวะผู้นำที่ยั่งยืน จำนวน 5 คน และผู้ทรงคุณวุฒิประเมินแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืน จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นของตอนสภาพปัจจุบัน .867 และสภาพที่พึงประสงค์ .881 แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินแนวทาง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุงผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันในการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ การมีความลุ่มลึกในองค์ความรู้การมีความยุติธรรม การเป็นผู้รอบรู้ในศาสตร์และวิธีการ และการส่งเสริมความหลากหลาย ตามลำดับและ 2) การพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา มีแนวทางดังนี้ 2.1) ด้านการมีความลุ่มลึกในองค์ความรู้โดยการฝึกอบรม การประชุมปฏิบัติการ การสัมมนา และการพัฒนาด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง 2.2) ด้านการส่งเสริมความหลากหลาย โดยการพัฒนาตนเอง การสร้างเครือข่าย สร้างการมีส่วนร่วม 2.3) ด้านการเป็นผู้รอบรู้ในศาสตร์และวิธีการ โดยการพัฒนาตนเอง การสร้างการมีส่วนร่วม การประสานความร่วมมือ และ 2.4)ด้านการมีความยุติธรรม โดยการสร้างการมีส่วนร่วม การพัฒนาตนเองตามหลักธรรมาภิบาล การประยุกต์ใช้หลักธรรม และผลการประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืน อยู่ในระดับมากที่สุด ทุกด้าน</p> ณัฐณิชา เทศบุตร เสาวนี สิริสุขศิลป ปารย์พิชชา ก้านจักร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 19 36 แนวทางการส่งเสริมภาวะผู้นำแห่งการเรียนรู้ของครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/552 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณลักษณะและความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำแห่งการเรียนรู้ของครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมภาวะผู้นำแห่งการเรียนรู้ของครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 439 คน ได้มาโดยการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง กลุ่มที่ 2 ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบวัดภาวะผู้นำแห่งการเรียนรู้ และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการประเมินความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะภาวะผู้นำแห่งการเรียนรู้ของครู องค์ประกอบที่ 1 การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม มีค่ามากที่สุด (ค่าเฉลี่ย=4.265) รองลงมาคือ องค์ประกอบที่ 5 การเรียนรู้ด้วยตนเอง (ค่าเฉลี่ย=4.229) สำหรับผลความต้องการจำเป็น องค์ประกอบที่ 4 กระบวนการคิดขั้นสูง (Higher Order Thinking) มีค่ามากที่สุด (PNImodified=0.098) รองลงมาคือ องค์ประกอบที่ 6 การบูรณาการงานเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน (Integration for Instructional Development) (PNImodified=0.096) และ 2) แนวทางการส่งเสริมภาวะผู้นำแห่งการเรียนรู้ของครูโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร คือ กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันผ่านชุมชนวิชาชีพ ครูสร้างเครือข่ายผู้นำการเรียนรู้เพื่อแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดี การจัดอบรมและพัฒนาศักยภาพ การใช้โค้ชผู้เชี่ยวชาญหรือครูรุ่นพี่เป็นพี่เลี้ยง การเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีใช้เครื่องมือดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ทันสมัย กิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้ในโรงเรียน โดยมีการดำเนินงานทั้งระดับบุคคล ระดับโรงเรียน ระดับองค์กรและนโยบาย ตลอดจนระดับสังคมภาพรวมต่อไป</p> ปัทมา รูปสุวรรณกุล นันทนา ชวศิริกุลฑล อัจศรา ประเสริฐสิน นิษรา พรสุริวงษ์ ฐิติรัตน์ รอดทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 37 51 รูปแบบการพัฒนาครูด้านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการ นิเทศแบบชี้แนะร่วมกับชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนเทศบาล ๑ (วัดเทวสังฆราม) ในพระสังฆราชูปถัมภ์ https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/577 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูด้านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะร่วมกับชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 3) เพื่อศึกษาผลการดำเนินงานตามรูปแบบ และ 4) เพื่อประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบ กลุ่มเป้าหมายการพัฒนาครู ได้แก่ ครูผู้สอนจำนวน 43 คน กลุ่มตัวอย่างในการประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 248 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม คู่มือการดำเนินงาน แบบประเมินความสามารถของครูในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะในศตวรรษที่ 21 แบบประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบ การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมุติฐานด้วย t-test Dependent Sample และการพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ข้อมูลพื้นฐานสภาพการปฏิบัติด้านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเทศบาล ๑ (วัดเทวสังฆาราม) ในพระสังฆราชูปถัมภ์ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" /> = 2.68, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" /> = 0.53) และความต้องการในการพัฒนาครูด้านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะในศตวรรษที่ 21 โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" />= 4.25, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" /> = 0.62) โดยมีดัชนีความต้องการโดยรวม PNI <sub>modified</sub> = 0.585 2) ผลการพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูด้านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะในศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะร่วมกับชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ พบว่า ได้รูปแบบการบริหารงานวิชาการ ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ 3) ระบบและกลไก 4) วิธีการดำเนินงานของรูปแบบ 5) แนวทางการประเมินผลของรูปแบบ และ 6) เงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้ โดยวิธีดำเนินงาน แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมความพร้อม ขั้นตอนที่ 2 การสังเกตการสอน ขั้นตอนที่ 3 การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล และขั้นตอนที่ 4 การประชุมชี้แนะและปรับปรุงการสอน ผลการประเมินคุณภาพของรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า โดยรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด 3) การศึกษาผลการดำเนินงานตามรูปแบบ พบว่า ครูผู้สอนมีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะในศตวรรษที่ 21 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" /> = 4.51, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" />= 1.16) และส่งผลให้นักเรียนมีทักษะในศตวรรษที่ 21 สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) ผลการประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" />= 4.52, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" />= 0.75)</p> ทิพย์วรินทร์ ภัทธาธรดิษกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 52 73 แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษามุกดาหาร https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/578 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา (2) ประเมินความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา (3) พัฒนาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา (4) ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 20 คน และครู จำนวน 232 คน รวมทั้งสิ้น 252 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามขนาดของสถานศึกษา โดยใช้เกณฑ์ร้อยละ ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีจำนวน4 ฉบับ คือ (1) แบบสอบถามสภาพปัจจุบันเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มี 5 ด้าน 33 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง .60-1.00 มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง .31-.64 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ .91 (2) แบบสอบถามสภาพที่พึงประสงค์เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มี 5 ด้าน 33 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง .60-1.00 มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง .39-.79 และมีค่า ความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ .95 (3) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกข้อและ (4) แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง (PNIModified)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีค่าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ด้านการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล และด้านการสนับสนุน การจัดการ ดำเนินการด้านดิจิทัล 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา การมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล ใช้ดิจิทัลเพื่อการวางแผน บริหารจัดการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทันและใช้เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาตนเอง ครูและบุคลากรทางการศึกษา ส่งเสริมให้ครูในโรงเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนารูปแบบและวิธีการจัดการเรียนรู้แก่ ผู้เรียน ตระหนักรู้ถึงความสำคัญและการเปลี่ยนแปลงและใช้ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้อย่างสร้างสรรค์สามารถจัดสรร สนับสนุนงบประมาณในการสร้างสภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 4) การประเมินความเหมาะสมของแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน ส่วนผลการประเมินความเป็นไปได้ของแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน</p> ทัศนะ คล่องดี นาวี อุดร ชาญวิทย์ หาญรินทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 74 91 การประเมินความต้องการจำเป็นของการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการ ในโรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/579 <p style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ภาวะผู้นําทางวิชาการในโรงเรียนมาตรฐานสากล และ 2) ประเมินความต้องการจำเป็นของการพัฒนาภาวะผู้นําทางวิชาการในโรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูและผู้บริหารในโรงเรียนมาตรฐานสากล จำนวน 614 คน โดยวิธีสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.80-1.00 มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.989 และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง</p> <p style="font-weight: 400;"><br />ผลการวิจัย พบว่า สภาพปัจจุบัน ภาวะผู้นําทางวิชาการในโรงเรียนมาตรฐานสากล อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด และ 2) ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการในโรงเรียนมาตรฐานสากล เรียงลำดับจากสูงไปหาต่ำ ดังนี้การส่งเสริมบรรยากาศทางการเรียนการสอน การจัดการหลักสูตรและการสอน การนิเทศการสอน การกำกับติดตามความก้าวหน้าของนักเรียนและการกำหนดพันธกิจ ตามลำดับ</p> ธรรมนูญ วิชาหา เพียงแข ภูผายาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 92 103 การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้เสริมทักษะการออกแบบชิ้นงาน สำหรับนักศึกษา หลักสูตรระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/588 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้เสริมทักษะการออกแบบชิ้นงาน สำหรับนักศึกษาหลักสูตรระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ ตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เปรียบเทียบทักษะการออกแบบชิ้นงาน ของนักศึกษาหลักสูตรระยะสั้น กับเกณฑ์ร้อยละ 75 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาหลักสูตรระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ ที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้เสริมทักษะการออกแบบชิ้นงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาหลักสูตรระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 11 คนได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้วิทยาลัยเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เสริมทักษะการออกแบบชิ้นงาน สำหรับนักศึกษาหลักสูตรระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ จำนวน 2 ชุด 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) ที่ใช้ในหลักสูตรโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปงานกราฟิก Photoshop ของหลักสูตรระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3) แบบประเมินทักษะการออกแบบชิ้นงานเป็นแบบเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) จำนวน 6 รายการ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาหลักสูตรระยะสั้นที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการออกแบบชิ้นงาน สำหรับนักศึกษาหลักสูตรระยะสั้นวิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบความแตกต่าง (t-test statistics)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ประสิทธิภาพของการชุดกิจกรรมการเรียนรู้เสริมทักษะการออกแบบชิ้นงาน สำหรับนักศึกษาหลักสูตรระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 76.12/75.45 นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักศึกษามีทักษะการออกแบบชิ้นงาน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักศึกษาหลักสูตรระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ มีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้เสริมทักษะการออกแบบชิ้นงาน สำหรับนักศึกษาหลักสูตรระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> พงศกร ภูมิสิทธิ์ ปริชาติ ประเสริฐสังข์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 104 117 การศึกษาชุมชนพหุวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อการอบรมเลี้ยงดูของเด็กปฐมวัย เทศบาลตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/592 <p>การศึกษาวิจัยครังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของชุมชนพหุวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อการอบรมเลี้ยงดูและการเจริญเติบโตของเด็กปฐมวัย เทศบาลตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนมกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ผู้ปกครองเด็กปฐมวัย และประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เทศบาลตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม อายุ 20-70 ปี จำนวน 98 คน เพศชาย 37 คน เพศหญิง 61 คน โดยใช้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบ<br />บันทึกภาคสนาม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยจากครอบครัว พบว่ามีปัญหาทางเศรษฐกิจของครอบครัว รายได้ลดลงจากสถานการณ์การแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และครอบครัวหย่าร้าง ทำให้ขาดทุนทรัพย์ในการส่งเสริมการเรียนรู้แก่เด็กปฐมวัย โดยในชุมชนมีทั้งชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน แต่สามารถปรับตัวเข้าหากัน และการบริหารงานจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการสนับสนุน และส่งเสริมความหลากหลายของชาติพันธุ์นท้องถิ่นผ่านวัฒนธรรม ประเพณีของท้องถิ่นเป็นประจำ แต่พบปัญหามาจากทัศนคติ และความเชื่อ<br />ของคนยุคเก่า รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย กับคนยุคใหม่ รุ่นลูก และหลาน ที่ไม่ตรงกัน ขัดแย้งกัน จึงเกิดการปฏิเสธวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาติพันธุ์ตนเอง และการเรียน แบบออนไลน์ยังคงเป็นปัญหาสำหรับเด็กปฐมวัยและผู้ปกครอง รวมไปถึงเด็กที่มีความต้องการพิเศษในชุมชนที่ยังคงต้องการความช่วยเหลือจากโรงเรียนและหน่วยงานภาครัฐ</p> วรรณิษา หาคูณ Cao Thi Hong Van ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 118 135 แนวทางการประยุกต์ใช้การคิดเชิงออกแบบในการพัฒนากรอบแนวคิดแบบเติบโต ของครูศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ: กรณีศึกษา https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/597 <p><span class="fontstyle0">การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวทางการพัฒนากรอบแนวคิดแบบเติบโตของครูและศึกษาผลการประยุกต์ใช้การคิดเชิงออกแบบในการพัฒนาศักยภาพครู เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นครูและบุคลากรด้านการศึกษา จำนวน 8 คน ซึ่งเป็นบุคลากรทั้งหมดในสถานศึกษาที่สมัครใจเข้าร่วมการวิจัยครั้งนี้ โดยผู้วิจัยได้ดำเนินการด้วยความโปร่งใสและคำนึงถึงหลักความสมัครใจเป็นสำคัญ เครื่องมือที่ใช้เป็นเชิงคุณภาพ ได้แก่ กิจกรรมที่พัฒนาขึ้นตามแนวคิดของ Stanford d.school และ Lewrick et al. 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นการเข้าใจตนเอง (Empathize) ด้วยเครื่องมือแผนที่แห่งความเข้าใจ (Empathy Map) และตัวตนของเรา (User Profile) ขั้นการกำหนดเป้าหมาย (Define)ด้วยเครื่องมือกิจกรรมการออกแบบอนาคต (Vision Cone) ขั้นการออกแบบแนวทาง (Ideate) ด้วยกิจกรรมตารางค้นพบ (2x2 Matrix) ขั้นการสร้างต้นแบบ (Prototype) ด้วยกิจกรรมครูคิดโต (MVP) และขั้นการสะท้อนผล (Test) ด้วยกิจกรรมฟีดแบ็กสู่วิถีเติบโต (Feedback Capture Grid) ร่วมกับการสังเกตพฤติกรรมและการตอบคำถามในระหว่างดำเนินกิจกรรม การเก็บข้อมูลดำเนินการตามกระบวนการ PAOR ตั้งแต่การวางแผนดำเนินการวิจัย (Plan) การออกแบบคู่มือ และกิจกรรมการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) จนถึงกระบวนการดำเนินกิจกรรมการวิจัย (Act) และสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งคำตอบและพฤติกรรม (Observe)และสะท้อนผลกลับทุกครั้งให้ผู้เข้าร่วมวิจัยรับทราบ และรับรองผลของการวิจัย ( Reflect) โดยใช้จำนวน1 วงรอบ และใช้ระยะเวลา 2 เดือน จากการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</span> </p> <p><span class="fontstyle0"> ผลการวิจัยพบว่า การคิดเชิงออกแบบมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมกรอบแนวคิดแบบเติบโตของครูโดยเฉพาะในด้านการสร้างแรงจูงใจภายใน การเผชิญความท้าทาย และการเรียนรู้จากข้อผิดพลาด กิจกรรมการคิดเชิงออกแบบที่ออกแบบมีส่วนช่วยให้ครูเกิดความตระหนักรู้ถึงศักยภาพของตนเอง พร้อมทั้งพัฒนาทัศนคติที่ยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัวต่อบริบทการเปลี่ยนแปลง แนวทางที่ได้ยังเน้นการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงและการสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางจิตวิทยา ซึ่งเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมและพัฒนากรอบแนวคิดแบบเติบโตได้อย่างยั่งยืน <br /></span></p> กาญจนา แสนไชย วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง ุสุดารัตน์ สารสว่าง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 136 157 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลกับการเป็น ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุบลราชธานี เขต 1 https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/600 <p><span class="fontstyle0">การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2) ระดับการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลกับการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ และ 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 30 คน และครู จำนวน 301 คน รวม 331 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิและวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .99 และแบบสัมภาษณ์ สถิติวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</span> </p> <p><span class="fontstyle0"> ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) การเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลกับการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ มีความสัมพันธ์กันทางบวกอยู่ในระดับสูง (rxy=.754) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) แนวทางพัฒนา คือ ผู้บริหารควรกำหนดทิศทางตามนโยบายการศึกษา ใช้เทคโนโลยีพัฒนาหลักสูตร ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงบวก นิเทศแบบกัลยาณมิตร และพัฒนาครูผ่านระบบดิจิทัล <br /></span></p> ณัฐสุดา ขันชะลี ปิยาพัชญ์ นิธิศอัครานนท์ ไพรวัลย์ โคตรตะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 158 177 การพัฒนาชุดฝึกการสร้างสรรค์การเรียนรู้ด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษา โรงเรียน นำร่อง พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/593 <p><span class="fontstyle0">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดฝึกการสร้างสรรค์การเรียนรู้ด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษาให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจการพัฒนานวัตกรรมก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกการสร้างสรรค์การเรียนรู้ด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษา และ3) ประเมินผลการใช้ชุดฝึกการสร้างสรรค์การเรียนรู้ด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษา ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูวิชาการ โรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 จำนวน 120 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดฝึกการสร้างสรรค์การเรียนรู้ด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษา แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจการพัฒนานวัตกรรม และแบบประเมินการใช้ชุดฝึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีแบบกลุ่มไม่อิสระ</span></p> <p><span class="fontstyle0">ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดฝึกมีประสิทธิภาพ (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) เท่ากับ 90.38/90.33 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2) ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ความเข้าใจการพัฒนานวัตกรรมหลังการใช้ชุดฝึกสูงกว่าก่อนการใช้ชุดฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ผลการประเมินการใช้ชุดฝึกในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งด้านปัจจัยนำเข้า ด้าน กระบวนการ และด้านผลลัพธ์ ผลการวิจัยสะท้อนว่าชุดฝึกที่พัฒนาขึ้นสามารถส่งเสริมความรู้ความเข้าใจของครูและผู้บริหารในการสร้างสรรค์การเรียนรู้ด้วยการวิจัยและนวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ <br /></span> </p> ณัฐวดี วังสินธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 178 196 อิทธิพลของปัจจัยด้านการบริหารสถานศึกษาต่อความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานของครู เจเนอเรชันวายสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสิงห์บุรี อ่างทอง https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/596 <p><span class="fontstyle0">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับปัจจัยด้านการบริหารสถานศึกษา ได้แก่ บรรยากาศและวัฒนธรรมองค์กร ภาวะผู้นำของผู้บริหาร การพัฒนาบุคลากร และนโยบายและการบริหารงาน รวมทั้งศึกษาระดับความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานในด้านการเงิน ด้านครอบครัว ด้านการทำงาน ด้านสติปัญญา และด้านเวลา ของครูเจเนอเรชันวาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสิงห์บุรี อ่างทอง และเพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยด้านการบริหารสถานศึกษาที่มีผลต่อความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน กลุ่มประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูเจเนอเรชันวาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสิงห์บุรี อ่างทอง จำนวน 692 คน โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 300 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการแบ่งชั้นภูมิ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ โดยแบบสอบถามที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.916 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</span> </p> <p><span class="fontstyle0"> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านการบริหารสถานศึกษาและความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานอยู่ในระดับมาก แสดงให้เห็นว่าสถานศึกษามีการดำเนินงานที่ส่งเสริมสมดุลชีวิตและการทำงานของครูได้อย่างเหมาะสม ปัจจัยด้านการบริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกกับสมดุลชีวิตและการทำงา นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสามารถร่วมกันพยากรณ์สมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานได้ร้อยละ 13.2 โดยบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์กรมีอิทธิพลทางบวก ส่วนภาวะผู้นำของผู้บริหารมีอิทธิพลทางลบต่อสมดุลชีวิตกับการทำงานอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 <br /></span></p> รัตนพร รักดี วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง สุดารัตน์ สารสว่าง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 197 217 ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการนิเทศของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลกับพฤติกรรมการ สอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/599 <p><span class="fontstyle0">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับทักษะการนิเทศของผู้บริหารสถานศึกษาในยุค<br />ดิจิทัล 2) ระดับพฤติกรรมการสอนของครู 3) ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการนิเทศของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลกับพฤติกรรมการสอนของครู และ 4) แนวทางการพัฒนาทักษะการนิเทศของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ใช้วิธีการวิจัยเชิงบรรยายหาความสัมพันธ์ ประชากร คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 21 คน และครู จำนวน 330 คน รวมจำนวน 351 คน กำหนดขนาดตัวอย่างตามตารางของ Krejcie และ Morgan ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิแล้วทำการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .98 และแบบสัมภาษณ์ สถิติวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์เนื้อหา<br /></span></p> <p><span class="fontstyle0">ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการนิเทศของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) พฤติกรรมการสอนของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการนิเทศของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลกับพฤติกรรมการสอนของครู มีความสัมพันธ์กันทางบวกอยู่ในระดับสูง (r</span><span class="fontstyle0">xy </span><span class="fontstyle0">=.863) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) แนวทางพัฒนา คือ ผู้บริหารสถานศึกษาควรฝึกทักษะการสื่อสาร รอบรู้เทคโนโลยี จัดวางตัวบุคคลให้เหมาะสมกับงาน และสามารถออกแบบเครื่องมือวัดผลได้</span></p> ยุภารัตน์ หาสุข อรรถพร วรรณทอง ไพรวัลย์ โคตรตะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 218 238 การพัฒนาแนวทางการนิเทศภายในโดยใช้แนวคิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/594 <p><span class="fontstyle0">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาแนวทางการนิเทศภายในโดยใช้แนวคิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 2) พัฒนาแนวทางการนิเทศภายใน ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี งานวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการนิเทศภายใน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครู จำนวน 350 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตาราง Krejcie and Morgan สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน ระยะที่ 2 การพัฒนาแนวทางการนิเทศภายใน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้บริหาร ครูที่มีวิธีการปฏิบัติที่ดี จำนวน 6 คน ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินแนวทาง จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และ 3) แบบประเมินความเหมาะสมของแนวทางการนิเทศภายใน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง</span> </p> <p><span class="fontstyle0"> ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการนิเทศภายในโดยใช้แนวคิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ สภาพปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยคือ การติดตามและประเมินผลการนิเทศ การสะท้อนผลการนิเทศ การปฏิบัติการนิเทศภายในและ การวางแผนการนิเทศ ตามลำดับ 2) แนวทางการนิเทศภายใน ประกอบด้วย 1. การวางแผนการนิเทศ ได้แก่ ผู้บริหาร ครูประชุมกำหนดเป้าหมายของการนิเทศ 2. การปฏิบัติการนิเทศ ได้แก่ ประชุมก่อนการนิเทศ ปฏิบัติการนิเทศ สรุปผล 3. การติดตามและประเมินผลการนิเทศ ได้แก่ ร่วมกันวิเคราะห์และประเมินผลการนิเทศ และ 4.การสะท้อนผล ได้แก่ เปิดรับความคิดเห็นและเผยแพร่ผลการนิเทศ ผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการนิเทศภายในอยู่ในระดับมากที่สุด <br /></span></p> ธีระยุทธ อ้วนวงค์ โกวัฒน์ เทศบุตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 239 256 Exploring EFL pre-service teachers’ experiences of doing collaborative action research through self-report techniques https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/625 <p><span class="fontstyle0">Action research is an effective professional development tool that promotes inquiry, reflection, and problem-solving that foments action or change. This study explored EFL preservice teachers' experiences of doing collaborative action research during their practicum. Forty-nine EFL pre-service teachers enrolled in a practicum course answered two openended questions about the challenges and difficulties in doing collaborative action research and the benefits of collaborative action research in professional development. Data was analyzed and reported based on the two questions asked. Findings revealed that action research improved the EFL pre-service teachers’ teaching practice, self-directed professional growth, and promoted collaboration and community building. Nevertheless, some EFL preservice teachers indicated that they lacked action research knowledge . Suggestions are provided for promoting action research engagement within language education contexts</span> </p> Thooptong Kwangsawad Peter James Hoffman Hossana Praise Santos Calangian ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 16 2 257 268