วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD <p><strong><img src="https://so20.tci-thaijo.org/public/site/images/thatchai/136b9f31-b7f2-4ef6-9d48-f3048af63870.jpg" alt="" width="735" height="232" /></strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์ของวารสาร</strong></p> <p> วารสารเปิดรับผลงานวิชาการที่จะลงตีพิมพ์ในวารสาร เป็นผลงานวิชาการทางการศึกษา การบริหาร และนิเทศทางการศึกษา และผลการค้นคว้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ในรูปแบบบทความวิจัย และบทความทางวิชาการ มีเนื้อหาสาระน่าสนใจ เป็นประโยชน์ เป็นการสร้างความรู้ใหม่ และเป็นบทความที่ยังไม่เคยตีพิมพ์หรือเผยแพร่ในวารสารหรือเอกสารอื่นๆ มาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาพิมพ์เผยแพร์ในวารสารใด ๆ</p> th-TH วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/549 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ระดับความคิดเห็นของครูที่มีต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 2) ระดับความคิดเห็นของครูที่มีต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการเขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 322 คน จากการกำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยเปิดตารางสำเร็จรูปของ Cohen et al. และเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 1 ฉบับ ประกอบไปด้วย 3 ตอน ตอนที่ 1 สถานภาพของครูผู้ตอบแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบสอบถามแบบเลือกตอบ (Check-list) ตอนที่ 2 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงตามการรับรู้ของครู มีลักษณะเป็นแบบสอบถามปลายปิดชนิดเลือกตอบ (Check-list) จำนวน 26 ข้อ และตอนที่ 3 ประสิทธิผลของสถานศึกษามีลักษณะเป็นแบบสอบถามปลายปิดชนิดเลือกตอบ (Check-list) จำนวน 19 ข้อ สถิติใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p><br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นของครูที่มีต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับความคิดเห็นของครูที่มีต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> วรายุทธ สาริบุตร กัลยมน อินทุสุต Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 1 17 การนิเทศภายในสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/550 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบการนิเทศภายในสถานศึกษา จำแนกตามสถานภาพและขนาดของสถานศึกษา 2) ศึกษาและเปรียบเทียบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก จำแนกตามสถานภาพและขนาดของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการนิเทศภายในสถานศึกษากับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 4) ศึกษาอำนาจพยากรณ์ของการนิเทศภายในสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม ปีการศึกษา 2567 จำนวน 277 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 64 คน และ ครู จำนวน 213 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์ร้อยละ และใช้วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามเกี่ยวกับการนิเทศภายใน มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง .49-.62 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .94 2) แบบสอบถามเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง .42-.58 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ค่าที (t-test: Independent Samples) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p><br />ผลการวิจัย พบว่า 1) การนิเทศภายในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามสถานภาพ พบว่า ครูมีความคิดเห็นสูงกว่าผู้บริหารสถานศึกษา และจำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า แตกต่างกัน 1 คู่ ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาและครู สถานศึกษาขนาดเล็ก มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการนิเทศภายในสถานศึกษาสูงกว่าความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครู ในสถานศึกษาใหญ่และใหญ่พิเศษ <br />2) การจัดการเรียนรู้เชิงรุก โดยรวม อยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามสถานภาพ และตามขนาดสถานศึกษา พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาและครู มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน 3) การนิเทศภายในสถานศึกษา มีความสัมพันธ์กันทางบวกกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) การนิเทศภายในสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม มี 4 ตัวแปร ได้แก่ ด้านการประเมินผลการนิเทศ X3 ด้านการปฏิบัติการนิเทศ X2 ด้านการสร้างขวัญและกำลังใจ X4 ด้านการวางแผนการนิเทศ X1 โดยร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 67 สามารถเขียนสมการได้ดังนี้ <br />สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ<br />Y' = .99 + .25X3 + .20X2 + .20X4 + .13X1 <br />สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน<br />Zy' = .28Z3 + .23Z2 + .23Z4 + .17Z1</p> ณัฐพร เดชทะสอน นาวี อุดร อัครวัฒน์ บุปผาทวีศักดิ์ Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 18 37 ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อบรรยากาศองค์การของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/551 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามสถานภาพและขนาดของสถานศึกษา 2) ศึกษาและเปรียบเทียบบรรยากาศองค์การของสถานศึกษา จำแนกตามสถานภาพและขนาดของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับบรรยากาศองค์การของสถานศึกษา และ 4) ศึกษาอำนาจพยากรณ์ของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อบรรยากาศองค์การของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 277 คน ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 64 คน ครู จำนวน 213 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้เกณฑ์ร้อยละ ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำแนกเป็น 2 ฉบับ คือ <br />1) แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษามีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง .80-1.00 ค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง .23-.80 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .99 2) แบบสอบถามเกี่ยวกับบรรยากาศองค์การของสถานศึกษามีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง .60-1.00 ค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง .24-.80 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .95 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามสถานภาพ พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) บรรยากาศองค์การของสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามสถานภาพ พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบโดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับบรรยากาศองค์การของสถานศึกษามีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับค่อนข้างสูงอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 4) ตัวแปรภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับบรรยากาศองค์การของสถานศึกษา มี 3 ตัวแปรได้แก่ ด้านการทำงานเป็นทีม (X4) ด้านการมีความยืดหยุ่น (X5) และด้านการมีวิสัยทัศน์ (X1) โดยร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 64 สามารถเขียนสมการได้ ดังนี้<br />สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ <br />Y' = 1.57 + .22X4 + .22X5 + .09X1 <br />สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน<br />Zy' = .33Z4 + .28Z5 + .13Z1</p> เอื้ออารี เอกพันธ์ อัครวัฒน์ บุปผาทวีศักดิ์ นาวี อุดร Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 38 57 การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดสงขลา https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/553 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2) เพื่อเปรียบเทียบการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครู สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดสงขลา จำนวน 184 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างจากตารางการกำหนดขนาดของเครซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970) และสุ่มแบบแบ่งชั้น ตามขนาดสถานศึกษา จากนั้นใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยวิธีการจับสลาก และผู้ให้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 คน เป็นผู้บริหารสถานศึกษา มีประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ในศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ สังกัดสำนักงานการเรียนรู้ประจำจังหวัดสงขลา ไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือมีวิทยฐานะไม่ต่ำกว่าชำนาญการพิเศษ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม มีค่าเท่ากับ 0.966 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า T– Test (Independent t - test) ทดสอบค่า F - Test และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ ในกรณีที่การทดสอบเอฟ (F - test) มีนัยสำคัญทางสถิติที่ โดยวิธี Least Significant Difference (LSD) </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของสถานศึกษา จำแนกตัวแปรประสบการณ์ในการปฏิบัติงานและขนาดสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน แต่เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แนวทางการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของสถานศึกษา 1) ส่งเสริมการทำงานร่วมกันจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้บริหาร ครู บุคลากร นักเรียน ชุมชน และภาคีเครือข่าย 2) เป็นศูนย์กลางในการประสานงานและพัฒนาระบบสนับสนุนทรัพยากรการเรียนรู้ 3) นำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนและกระจายโอกาสการเรียนรู้ 4) พัฒนาสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ 5) สร้างแนวทางและรูปแบบการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อความต้องการยืดหยุ่นและเข้าถึงได้ง่าย 6) การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะและความรู้ที่ทันสมัยและตรงกับความต้องการของผู้เรียน</p> สิริพร ทวะกาญจน์ สุนทรี วรรณไพเราะ Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 58 77 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับแผนผังความคิด เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ที่ส่งเสริมจิตวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/558 <p> การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับแผนผังความคิด เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) เปรียบเทียบจิตวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 การวิจัยครั้งนี้ เป็นการออกแบบการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre-experimental Design) ตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 34 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling ) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับแผนผังความคิด แบบวัดถามจิตวิทยาศาสตร์ เป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที </p> <p>1) ผลการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ มีดังนี้ รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น คือ กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับแผนผังความคิด เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ที่ส่งเสริมจิตวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กิจกรรมการเรียนรู้มี 5 ขั้น คือ ขั้นสร้างความสนใจ ขั้นสํารวจและค้นหา ขั้นอธิบายและข้อสรุป ขั้นขยายความรู้ ขั้นประเมิน ซึ่งในงานวิจัยนี้เลือกใช้แผนผังความคิดแบบใยแมงมุมทุกแผนกิจกรรมการเรียนรู้ และนำมาใช้ในขั้นสํารวจและค้นหา และขั้นอธิบายและข้อสรุป รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด </p> <p>2) นักเรียนมีจิตวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p> <p><br />3) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางที่ระดับ .05</p> กัลยาณี อุทุมทอง วราพร เอราวรรณ์ Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 78 94 แรงจูงใจการทำงาน ความมีอิสระในงานและการตัดสินใจเปลี่ยนสายงานจากครูผู้สอนเป็นผู้บริหารสถานศึกษา https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/561 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจในการทำงาน ความมีอิสระในงานและการตัดสินใจเปลี่ยนสายงานจากครูผู้สอนเป็นผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการทำงานกับความมีอิสระในงาน 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการทำงานกับการตัดสินใจเปลี่ยนสายงานจากครูผู้สอนเป็นผู้บริหารสถานศึกษา และ 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความมีอิสระในงาน กับการตัดสินใจเปลี่ยนสายงานจากครูผู้สอนเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ประชากรการวิจัยครั้งนี้ คือ นิสิตปริญญาโท สาขาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร <br />ปีการศึกษา 2567 จำนวน 119 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า IOC ทุกข้อคำถามเท่ากับ 1 และค่าความเชื่อมั่นอยู่ ที่ 0.984 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย (µ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson product moment correlation coefficient) (r)</p> <p><br />ผลการวิจัยพบว่า ระดับของแรงจูงในการทำงานในภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (µ = 3.81) ระดับความมีอิสระในงาน ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (µ = 3.77) ระดับการตัดสินใจเปลี่ยนสายงานจากครูผู้สอนเป็นผู้บริหารสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก (µ = 3.97) และความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการทำงาน ความมีอิสระในงานและการตัดสินใจเปลี่ยนสายงานจากครูผู้สอนเป็นผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ความสัมพันธ์ของตัวแปรทั้ง 3 คู่ มีความสัมพันธ์ระหว่าง 0.090 – 0.745</p> เนรัญชลา ธิติพงษ์ วรรณ์วิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง สุดารัตน์ สารสว่าง Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 95 108 แนวทางการป้องกันและการแก้ปัญหาพฤติกรรมรังแกกันของนักเรียนแผนการเรียนกีฬา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/562 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะและระดับความรุนแรงของพฤติกรรมรังแกกันของนักเรียน 2) ศึกษาระดับการรับรู้เมื่อเกิดพฤติกรรมรังแกกันของนักเรียน และ 3) แนวทางป้องกันและแก้ปัญหาพฤติกรรมรังแกกันของนักเรียน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มประชากรคือ นักเรียนแผนการเรียนกีฬา ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 102 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามพฤติกรรมรังแกกันของนักเรียน จำนวน 34 ข้อ โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ลักษณะและระดับความรุนแรงของพฤติกรรมรังแกกัน โดยภาพรวมพบว่ามีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับน้อย และเมื่อพิจารณาแยกเป็นรายด้านพบว่า การถูกรังแกโดยคนอื่นที่พบมากสุด คือ ถูกกระทำด้วยความรุนแรงขณะเล่นหรือซ้อมกีฬา ความรุนแรงของการเกิดพฤติกรรมการรังแกอยู่ในระดับน้อย (μ= 2.41) และพฤติกรรมรังแกผู้อื่นที่พบมากสุด คือ ชก เตะ ผลัก หรือตบตี ตามร่างกายของผู้อื่น ความรุนแรงของการเกิดพฤติกรรมการรังแกอยู่ในระดับน้อย (μ= 2.57) 2) การรับรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมรังแกกันในภาพรวมมีระดับการรับรู้ค่อนข้างน้อย 3) แนวทางป้องกันและแก้ปัญหาพฤติกรรมรังแกกันในนักเรียนแผนการเรียนกีฬา พบว่ามี 6 กลุ่ม ได้แก่ การพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์แก่ผู้เรียน การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเท่าเทียม การกำหนดและบังคับใช้กฎระเบียบภายในโรงเรียน การมีบทบาทของครูและการเฝ้าระวัง การสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากผู้ปกครอง ผู้ฝึกสอนและผู้ที่เกี่ยวข้อง และ การจัดการเป็นรายกรณี</p> สุกัญญา ฉิมพนาม วรรณ์วิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง สุดารัตน์ สารสว่าง Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 109 123 การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/566 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยใช้วิธีดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 323 คน ได้มาโดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ตามขนาดของโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า ซึ่งหาค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถาม (IOC) มีค่าเท่ากับ 1.00 มีค่าอำนาจจำแนกแบบสอบถามสภาพปัจจุบันตั้งแต่ระหว่าง .350 - .889 และค่าอำนาจจำแนกแบบสอบถามสภาพที่พึงประสงค์ตั้งแต่ .345 - .946 จากนั้นนำมาหาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับของสภาพปัจจุบันเท่ากับ .964 และสภาพที่พึงประสงค์เท่ากับ .962 ระยะที่ 2 การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษาวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศของผู้บริหารโรงเรียนโดยการสัมภาษณ์ จากนั้นยกร่างโปรแกรมและประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโปรแกรมโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าดัชนีความต้องการจำเป็น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า<br />1. สภาพปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การสื่อสารดิจิทัล และสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การสร้างวัฒนธรรมดิจิทัลและลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การสร้างวัฒนธรรมดิจิทัล การพัฒนาความเป็นมืออาชีพด้านดิจิทัล การมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล การรู้ดิจิทัล และการสื่อสารดิจิทัล ตามลำดับ</p> <p>2. โปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) เนื้อหาประกอบด้วย 5 Module ได้แก่ Module 1 การมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล Module 2 การรู้ดิจิทัล Module 3 การสื่อสารดิจิทัล Module 4 การพัฒนาความเป็นมืออาชีพด้านดิจิทัล และ Module 5 การสร้างวัฒนธรรมดิจิทัล 4) วิธีพัฒนา 5) ผลการประเมินโปรแกรมโดยรวมมีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> อารีรัตน์ สุขดาษ ธันยาภรณ์ นวลสิงห์ Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 124 138 การพัฒนาตัวบ่งชี้การจัดการความหลากหลายทางเจเนอเรชั่นของบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/565 <div>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้การจัดการความหลากหลายทางเจเนอเรชั่นของบุคลากรในสถานศึกษา และ 2) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันการจัดการความหลากหลายทางเจเนอเรชั่นของบุคลากรในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 ประชากร จำนวนทั้งหมด 2,117 คน และกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 500 คน โดยกำหนดขนาดตัวอย่างตามอัตราส่วน 10:1 สำหรับพารามิเตอร์ 50 ค่า ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณเพื่อให้ได้องค์ประกอบเชิงยืนยัน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิตการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันลำดับที่สอง</div> <div> </div> <div>ผลวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบและตัวบ่งชี้การจัดการความหลากหลายทางเจเนอเรชั่นของบุคลากรในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 มีทั้งหมด 5 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การสร้างทีมงานของบุคลากร (2) การสอนงานและให้คำปรึกษา (3) การสร้างสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงาน (4) การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และ (5) การสร้างโอกาสและความเสมอภาค 2) ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันการจัดการความหลากหลายทางเจเนอเรชั่นของบุคลากรในสถานศึกษามีค่าดัชนีกลมกลืนของโมเดลการวัดองค์ประกอบการจัดการความหลากหลายทางเจเนอเรชั่นของบุคลากรในสถานศึกษา มีความสอดคล้องกลมกลืนเชิงประจักษ์ โดยมีค่า χ^2= 91.560, df = 76, P-Value = 0.108, CFI = 0.997, TLI = 0.996, GFI = 0.977, AGFI = 0.959, RMSEA = 0.020 </div> <p> </p> ธีรศักดิ์ ม่วงเพชร เพียงแข ภูผายาง Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 139 156 การพัฒนาตัวบ่งชี้ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนประถมศึกษา ในจังหวัดชัยภูมิ https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/567 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและพัฒนาตัวบ่งชี้ความฉลาดทางอารมณ์ ของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) ทดสอบความสอดคล้องของโมเดลตัวบ่งชี้ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดชัยภูมิกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 59 คน และครู จำนวน 529 คน รวมจำนวน 590 คน ได้มาโดยทำการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์สถิติพื้นฐาน และวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาองค์ประกอบและพัฒนาตัวบ่งชี้ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 องค์ประกอบ 18 ตัวบ่งชี้ ประกอบด้วย (1) การตระหนักรู้ในตนเอง มี 3 ตัวบ่งชี้ (2) การควบคุมอารมณ์ตนเอง มี 3 ตัวบ่งชี้ (3) การสร้างแรงจูงใจในตนเอง มี 5 ตัวบ่งชี้ (4) การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มี 3 ตัวบ่งชี้ และ (5) การมีทักษะทางสังคม มี 4 ตัวบ่งชี้ 2) โมเดลตัวบ่งชี้ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษามีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พิจารณาจากค่า Chi-square (2) = 90.000 ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ, df = 73, P-Value = 0.086, 2/df = 1.23, TLI = 0.998, GFI = 0.984, AGFI = 0.957 และ RMSEA = 0.020 </p> ธนาภา บุดดี เพียงแข ภูผายาง Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 157 174 การศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมที่มีประสิทธิผล ของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนระดับประถมศึกษา https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/568 <p> การวิจัยครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น<br />ในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมที่มีประสิทธิผลของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนระดับประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ จำนวน 249 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตาราง Krejcie and Morgan และสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามขนาดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง โดยใช้เทคนิคจัดลำดับความสำคัญโดยใช้วิธี Modified Priority Needs Index (PNI modified) โดยมีค่าความตรงเชิงเนื้อหามีค่าตั้งแต่ 0.80 – 1.00 มีความเชื่อมั่นทั้งฉบับมีค่า 0.940 </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมที่มีประสิทธิผลของผู้บริหารสถานศึกษามีสภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็น เรียงลำดับจากมากไปน้อย คือ การบริหารจัดการองค์กรที่มีประสิทธิผล การมีวิสัยทัศน์เชิงนวัตกรรม การพัฒนาทีมงานและบุคลากร การเป็นผู้นำขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง และการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วม ตามลำดับ</p> <p> </p> ยุพดี เอกบัว เพียงแข ภูผายาง เทิดศักดิ์ สุพันดี Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 175 187 ภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคผันผวน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/569 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคผันผวน 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคผันผวน จำแนกตามตัวแปร เพศ อายุ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์การปฏิบัติงาน และขนาดสถานศึกษา และ 3) เพื่อประมวลข้อเสนอแนะการดำเนินงานตามภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคผันผวน โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือข้าราชการครู จำนวน 338 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยเทียบจากตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan และสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดสถานศึกษา แล้วใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยวิธีจับฉลาก เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 42 ข้อ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) เท่ากับ 0.6 ขึ้นไป และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .972 สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การทดสอบค่าเอฟ เปรียบเทียบรายคู่ด้วย LSD และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคผันผวน ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคผันผวน จำแนกตามตัวแปร เพศ อายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การปฏิบัติงานต่างกัน โดยภาพรวมและรายด้าน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน แต่จำแนกตามตัวแปรขนาดของสถานศึกษา มีความคิดเห็นในภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และ 3) ผลการประมวลข้อเสนอแนะของภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคผันผวน พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กร บุคลากร และตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนา นอกจากนี้ผู้บริหารควรมีบุคลิกภาพดี เป็นแบบอย่างที่ดี มีความฉลาดทางอารมณ์ สามารถควบคุมอารมณ์ในทุกสถานการณ์ และตัดสินใจอย่างยุติธรรม โปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและขวัญกำลังใจให้กับบุคลากรในองค์กร</p> ภัทร์ณิชา สรรเสริญ ศิลป์ชัย สุวรรณมณี Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 188 206 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำตามทฤษฎีวิถีทาง - เป้าหมาย กับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารในสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/570 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำตามทฤษฎีวิถีทาง – เป้าหมายของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูสังกัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูสังกัดกรุงเทพมหานคร 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำตามทฤษฎีวิถีทาง – เป้าหมายกับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารในสถานศึกษาตามทัศนะของครูสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ข้าราชการครูสังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2567 โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของโคเฮน ในการกำหนดกลุ่มตัวอย่างที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 370 คน จากนั้นทำการสุ่มหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ เกี่ยวกับภาวะผู้นำตามทฤษฎีวิถีทาง – เป้าหมายของผู้บริหารสถานศึกษา แบ่งออกเป็น 4 ด้าน <br />1) ด้านภาวะผู้นำแบบสั่งการ จำนวน 5 ข้อ 2) ด้านภาวะผู้นำแบบสนับสนุน จำนวน 5 ข้อ 3) ด้านภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วม จำนวน 5 ข้อ 4) ด้านภาวะผู้นำแบบมุ่งผลสำเร็จ จำนวน 5 ข้อ และเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการ ของผู้บริหารสถานศึกษา แบ่งออกเป็น 4 ด้าน 1) การบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษา จำนวน 7 ข้อ 2) การบริหารจัดการกระบวนการเรียนรู้ จำนวน 6 ข้อ 3) การวัดผลประเมินผลการเรียน จำนวน 6 ข้อ 4) การพัฒนาสื่อนวัตกรรม เทคโนโลยีและแหล่งเรียนรู้ จำนวน 5 ข้อ ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.6 – 1.0 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.276 – 0.797 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำตามทฤษฎีวิถีทาง – เป้าหมายของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก (x ̅ = 4.18) 2) ระดับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก (x ̅ = 4.42) 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำตามทฤษฎีวิถีทาง – เป้าหมายกับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา มีความสัมพันธ์กันทางบวก (r เท่ากับ 748) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> อภิญญา ภูสมจิตร อำนวย ทองโปร่ง Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 207 225 การมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/574 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร จําแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานและขนาดของสถานศึกษาและ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร จำนวน 266 คน โดยใช้ตารางกำหนดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน และการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยใช้ขนาดโรงเรียนเป็นชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที แบบเป็นอิสระ และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ส่วนที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 7 คน ผ่านการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความและวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร อยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ รองลงมา คือ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ส่วนการพัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร จําแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานและขนาดของสถานศึกษาโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร ควรดำเนินการ ดังนี้ จัดประชุมชี้แจงเพื่อความรู้เกี่ยวกับนโยบายการศึกษาและกระบวนการพัฒนาหลักสูตร การวัดผล ประเมินผล จัดสรรงบประมาณสำหรับเทคโนโลยีการศึกษา ลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้อง จัดให้มีการพัฒนาวิชาชีพ ส่งเสริมการวิจัยและนำผลไปใช้ และจัดทำเอกสารคู่มือในการนิเทศการศึกษา รวมทั้งระบบประกันคุณภาพการศึกษาและมาตรฐานการศึกษาเพื่อให้ครูเข้าใจและเห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา</p> กาญจนาภรณ์ เปลี่ยนศรีเพ็ชร์ สมศักดิ์ คงเที่ยง อัจศรา ประเสริฐสิน Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 226 247 โปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/575 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันสภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็น<br />ในการเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 และ 2) พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยใช้วิธีดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) แบ่งเป็น 2 ระยะคือ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 335 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู และประเมินโปรแกรมโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ กึ่งโครงสร้างและแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโปรแกรมสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าดัชนีความต้องการจำเป็น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เชิงรุก และสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ กลวิธีในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกและลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก กลวิธีในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก การใช้สื่อเทคโนโลยี การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก และ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เชิงรุก ตามลำดับโปรแกรม ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) เนื้อหาและกิจกรรมประกอบด้วย 5 Module ได้แก่ Module 1 การออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก Module 2 กลวิธีการจัดการเรียนรู้เชิงรุก Module 3 การกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก Module 4 การใช้สื่อ เทคโนโลยี และ Module 5 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เชิงรุก 4) วิธีพัฒนา 5) การประเมินผลโปรแกรม ซึ่งผลการประเมินโปรแกรมโดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ภาวดี นามม่วง ชัยยนต์ เพาพาน Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 248 267 บทบาทที่เป็นจริง บทบาทที่คาดหวัง และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาบทบาท ของพระสงฆ์ในฐานะผู้บริหารสถานศึกษา กรณีศึกษาโรงเรียนเอกชนกลุ่มการกุศล ของวัดในพระพุทธศาสนา https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/576 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ระดับของบทบาทที่เป็นจริง บทบาทที่คาดหวังของพระสงฆ์ในฐานะผู้บริหารสถานศึกษา และวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาบทบาทของพระสงฆ์ในฐานะผู้บริหารสถานศึกษา ใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า ระดับการปฏิบัติของพระสงฆ์ในฐานะผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมากทุกด้าน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีระดับการปฏิบัติมากที่สุดคือด้านการบริหารงานวิชาการ รองลงมาคือด้านการบริหารงานงบประมาณ ส่วนระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของพระสงฆ์ในฐานะผู้บริหารสถานศึกษา<br />ในภาพรวมมีความคาดหวังอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีความคาดหวังมากที่สุดคือด้านการบริหารงานวิชาการ รองลงมาคือด้านการบริหารงานงบประมาณ นอกจากนี้บทบาทของพระสงฆ์ในฐานะผู้บริหารสถานศึกษาที่มีความต้องการจำเป็นมากที่สุดคือ บทบาทด้านการบริหารงานงบประมาณ (PNI<sub>modified</sub>=0.1266) ด้านการบริหารงานบุคคล (PNI<sub>modified</sub>=0.1253) ด้านการบริหารงานทั่วไป (PNI<sub>modified</sub>=0.1169) และด้านการบริหารงานวิชาการ (PNI<sub>modified</sub>=0.1168) ตามลำดับ</p> ธิติยา ทองอยู่ วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง พร้อมพิไล บัวสุวรรณ Copyright (c) 2025 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 16 1 268 280