https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/issue/feed วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online) 2024-08-25T15:55:56+07:00 Open Journal Systems <p><strong><img src="https://so20.tci-thaijo.org/public/site/images/thatchai/136b9f31-b7f2-4ef6-9d48-f3048af63870.jpg" alt="" width="735" height="232" /></strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์ของวารสาร</strong></p> <p> วารสารเปิดรับผลงานวิชาการที่จะลงตีพิมพ์ในวารสาร เป็นผลงานวิชาการทางการศึกษา การบริหาร และนิเทศทางการศึกษา และผลการค้นคว้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ในรูปแบบบทความวิจัย และบทความทางวิชาการ มีเนื้อหาสาระน่าสนใจ เป็นประโยชน์ เป็นการสร้างความรู้ใหม่ และเป็นบทความที่ยังไม่เคยตีพิมพ์หรือเผยแพร่ในวารสารหรือเอกสารอื่นๆ มาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาพิมพ์เผยแพร์ในวารสารใด ๆ</p> https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/515 ทักษะของบัณฑิตระดับอุดมศึกษาตามแผนและนโยบายการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศ 2024-07-13T17:20:05+07:00 นันท์ปพร สิทธิยา nanpaporn007@gmail.com อรุณี หงษ์ศิริวัฒน์ Arunee.Ho@chula.ac.th ดวงกมล ไตรวิจิตรคุณ duangkamol.t@chula.ac.th <p>การอุดมศึกษาตามพจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2551มีความหมายว่า “การจัดการศึกษาหลังมัธยมศึกษาตอนปลาย คือ การศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี การศึกษาระดับปริญญาตรี และสูงกว่า” มีความรับผิดชอบ 3 ส่วน คือ คน ความรู้ และสิ่งแวดล้อม พันธกิจสำคัญ 4 ประการ คือ การผลิตบัณฑิต การวิจัย การให้บริการทางวิชาการแก่สังคมและการทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต้องสอดคล้องตามแผนพัฒนาประเทศ เพื่อพัฒนากำลังคนให้มีทักษะตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนา บัณฑิตต้องฝึกฝนทักษะในระดับง่ายสู่ระดับที่ยากขึ้นให้มีความรู้ในเชิงกว้างและความรู้ความเชิงลึกในศาสตร์เป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่วัดได้ตามความสามารถของบัณฑิตโดยสถาบันอุดมศึกษาแต่ละกลุ่มต้องกำหนดแนวทางการพัฒนาทักษะ กลยุทธ์หรือแนวทางหรือแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาทักษะบัณฑิตให้มีความเชี่ยวชาญตามปรัชญามหาวิทยาลัยหรือตามความเชี่ยวชาญของกลุ่มมหาวิทยาลัย</p> 2024-08-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online) https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/86 แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 2024-02-28T12:39:38+07:00 วารุณี ทวีบท thwibthwaruni@gmail.com อำนาจ ชนะวงศ์ amnaj.c@cas.ac.th จิราพร วิชระโภชน์ Jiraporn@cas.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็น ขององค์กรแห่งการเรียนรู้ และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาสถานศึกษาสู่ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 34 คน และข้าราชการครู จำนวน 268 คน จำนวนทั้งสิ้น 302 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามขนาดของสถานศึกษา โดยคำนวณสัดส่วนตามขนาดสถานศึกษา ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีจำนวน 4 ฉบับ คือ 1) แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ มีค่าความเชื่อมันเท่ากับ .96 2) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง 3) แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ สถิติที่ใช้ คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีการจัดลำดับความสำคัญความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง (PNI<sub>modified</sub>)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1)<span style="font-size: 0.875rem;">สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา เรียงตามความต้องการจำเป็นและความต้องการพัฒนา ได้ดังนี้ ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ร่วม 5 แนวทาง ด้านการคิดเชิงระบบ 5 แนวทาง ด้านการเรียนรู้ 5 แนวทาง ด้านการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม 5 แนวทาง ด้านเทคโนโลยี 5 แนวทาง และผลการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</span></p> 2024-08-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online) https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/87 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 2024-03-19T17:54:33+07:00 วชิรวิทย์ บุญสงค์ nuyloveseen002@gmail.com เพียงแข ภูผายาง k.piangkhae@gmail.com เพ็ญนภา สุขเสริม neuarj@neu.ac.th <p><span class="fontstyle0">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1)ศึกษาระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูผู้สอน2)ศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูผู้สอน3)ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอน จำนวน 738</span></p> <p><span class="fontstyle0"> ผลการวิจัยพบว่า1)ระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษาพบว่า มีความสัมพันธ์ระดับมากในทิศทางบวก (r = 0.855)อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 </span></p> 2024-08-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online) https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/88 การพัฒนาแนวทางการบริหารงานวิชาการโดยใช้แนวคิดวงจรเดมมิ่งของโรงเรียนโสตศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2024-03-19T18:06:22+07:00 นภัสภรณ์ พลคีรี nit.napasaporn@gmail.com โกวัฒน์ เทศบุตร kowat.tes@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1)ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการโดยใช้แนวคิดวงจรเดมมิ่งของโรงเรียนโสตศึกษาและ2)พัฒนาแนวทางการบริหารงานวิชาการโดยใช้แนวคิดวงจรเดมมิ่งของโรงเรียนโสตศึกษาโดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธีแบ่งออกเป็น2ระยะคือระยะที่1การศึกษาสภาพปัจจุบันสภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารงานวิขาการโดยใช้แนวคิดวงจรเดมมิ่งของโรงเรียนโสตศึกษากลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน โรงเรียนโสตศึกษา จำนวน290คนโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling)ตามขนาดโรงเรียนระยะที่ 2 การพัฒนาแนวทางการบริหารงานวิชาการโดยใช้แนวคิดวงจรเดมมิ่งของโรงเรียนโสตศึกษากลุ่มผู้ให้ข้อมูลได้แก่ผู้บริหารที่โดดเด่นด้านการบริหารงานวิชาการ จำนวน3คนและผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของแนวทางจำนวน5คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า5ระดับมีค่าความเชื่อมั่นของสภาพปัจจุบันเท่ากับ0.96และสภาพที่พึงประสงค์เท่ากับ0.98แบบสัมภาษณ์และแบบประเมินแนวทางสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า1)<span style="font-size: 0.875rem;">สภาพปัจจุบันการบริหารงานวิชาการโดยใช้แนวคิดวงจรเดมมิ่งของโรงเรียนโสตศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับปานกลางส่วนสภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดและลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการโดยใช้แนวคิดวงจรเดมมิ่งเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยได้แก่การนิเทศการศึกษาการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาการพัฒนากระบวนการเรียนรู้การพัฒนาสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการวัดประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียนตามลำดับ2)</span><span style="font-size: 0.875rem;">แนวทางการบริหารงานวิชาการโดยใช้แนวคิดวงจรเดมมิ่งของโรงเรียนโสตศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษได้แก่1)วางแผนโดยผู้บริหารและคณะครูประชุมร่วมกันเพื่อวิเคราะห์และกำหนดเป้าหมายการบริหารงานวิชาการ2)ปฏิบัติโดยการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติให้ชัดเจนกระตุ้นสนับสนุนให้ครูปฏิบัติอย่างเต็มความสามารถ และมีการกำกับติดตามอย่างต่อเนื่อง 3) ตรวจสอบ โดยจัดให้มีเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือสูงและดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล และ 4) ปรับปรุง โดยผู้บริหารและคณะครูนำผลการวิเคราะห์มาร่วมกันพิจารณาแก้ไขจุดอ่อนและใช้เป็นสารสนเทศในการปรับเปลี่ยนแผนการปฏิบัติซึ่งผลการประเมินแนวทางมีความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</span></p> 2024-08-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online) https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/89 ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 2024-03-19T18:10:05+07:00 ปรีชา แก้วบางทราย k.preecha91@gmail.com ชาญวิทย์ หาญรินทร์ Chanwit23@npu.ac.th อัครวัฒน์ บุปผาทวีศักดิ์ cinnawat_edu@npu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการบริหารในศตวรรษที่21ของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามสถานภาพและขนาดสถานศึกษา(2)ศึกษาและเปรียบเทียบประสิทธิผลของโรงเรียน จำแนกตามสถานภาพและขนาดสถานศึกษา (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน และ(4)ศึกษาอำนาจพยากรณ์ของทักษะการบริหารในศตวรรษที่21ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูรวมทั้งสิ้น 338 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์ร้อยละได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า5ระดับ มีจำนวน2ฉบับคือ (1) แบบสอบถามทักษะการบริหารในศตวรรษที่21ของผู้บริหารสถานศึกษามีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง .80- 1.00 ค่าอำนาจจำแนกรายข้อตั้งแต่.43 - .86 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .97 และ (2) แบบสอบถามประสิทธิผลของโรงเรียนมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 80-1.00ค่าอำนาจจำแนกรายข้อตั้งแต่53-.91ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ.98สถิติที่ใช้ได้แก่ร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าทีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวการวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า <span style="font-size: 0.875rem;">1. ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามสถานภาพและขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน 2.</span><span style="font-size: 0.875rem;">ประสิทธิผลของโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามสถานภาพ พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยรวมแตกต่างกัน 1 คู่ โดยผู้บริหารสถานศึกษาและครูสถานศึกษาขนาดใหญ่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียนสูงกว่าความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูสถานศึกษาขนาดกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3.</span><span style="font-size: 0.875rem;">ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4.</span><span style="font-size: 0.875rem;">ตัวแปรทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ร่วมส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน มี 4 ตัวแปร ได้แก่ ทักษะชีวิตและการทำงาน (X</span><sub>6</sub><span style="font-size: 0.875rem;">) ทักษะด้านนวัตกรรม (X</span><sub>3</sub><span style="font-size: 0.875rem;">) ทักษะเทคโนโลยีดิจิทัล (X</span><sub>5</sub><span style="font-size: 0.875rem;">) และทักษะการคิดสร้างสรรค์ (X</span><sub>2</sub><span style="font-size: 0.875rem;">) โดยร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 81 สามารถเขียนสมการ ได้ดังนี้</span></p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ</p> <p>Y' = 0.26 + .35X<sub>6</sub> + .34 X<sub>3</sub> + .17X<sub>5</sub> + .07X<sub>2</sub></p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน</p> <p>Zy' = .37Z<sub>6</sub> + .41Z<sub>3</sub> + .19Z<sub>5</sub> + .08Z<sub>2</sub></p> 2024-08-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online) https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/94 แนวทางพัฒนาการนิเทศภายในด้วยเครือข่ายความร่วมมือ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 2024-05-20T22:24:27+07:00 ภิญญดา ไชยพิเดช pinyadapingpong@gmail.com นาวี อุดร edu@npu.ac.th ชาญวิทย์ หาญรินทร์ csnpveis1@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการนิเทศภายในด้วยเครือข่ายความร่วมมือ(2)ประเมินความต้องการจำเป็นของการนิเทศภายในด้วยเครือข่ายความร่วมมือ (3) พัฒนาแนวทางการนิเทศภายในด้วยเครือข่ายความร่วมมือ <strong>(</strong>4) ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางพัฒนาการนิเทศภายในด้วยเครือข่ายความร่วมมือ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 28 คน และครูจำนวน 211 คนรวมทั้งสิ้น 239 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์ร้อยละ 10 ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีจำนวน 4 ฉบับ คือ (1)แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน จำนวน 30 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง .60 -1.00 ค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง .60 - .85 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ .97 (2) แบบสอบถามสภาพที่พึงประสงค์ จำนวน 30 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง .60 -1.00 ค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง .77 - .80 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ .79 (3) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง จำนวน 10 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ และ (4) แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ จำนวน 23 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีการจัดลำดับความสำคัญความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง และใช้วิธีวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพปัจจุบันของการนิเทศภายในด้วยเครือข่ายความร่วมมือ โดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ของการนิเทศภายในด้วยเครือข่ายความร่วมมือ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (2) ความต้องการจำเป็นของการนิเทศภายในด้วยเครือข่ายความร่วมมือที่มีค่าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ด้านการพัฒนากระบวนการนิเทศ ด้านการออกแบบการนิเทศ ด้านการปฏิบัติการนิเทศ (3) แนวทางพัฒนาการนิเทศภายในด้วยเครือข่ายความร่วมมือ1)ด้านการออกแบบการนิเทศภายในสถานศึกษาด้วยเครือข่ายความร่วมมือภายใต้การทำงานร่วมกันของผู้ให้การนิเทศและผู้รับการนิเทศ 2) ด้านการปฏิบัติการนิเทศ ภายในสถานศึกษาด้วยเครือข่ายความร่วมมือ 3) ด้านการติดตามและประเมินผลของการนิเทศภายในสถานศึกษาด้วยเครือข่ายความร่วมมือ 4) ด้านการพัฒนากระบวนการนิเทศภายในสถานศึกษาด้วยเครือข่ายความร่วมมือ 5) ด้านการเปิดใจรับฟังของการดำเนินการนิเทศภายในสถานศึกษาด้วยเครือข่ายความร่วมมือ(4)ผลการประเมินแนวทางพัฒนา โดยรวมพบว่าความเหมาะสม อยู่ในระดับมาก และความเป็นไปได้อยู่ในระดับ มากที่สุด</p> 2024-08-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online) https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/179 แนวทางการพัฒนาบรรยากาศองค์การของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 2024-05-23T19:32:14+07:00 ธนัญญา นวนกระโทก 65d0101105@nrru.ac.th กานต์ เนตรกลาง kant2552@yahoo.co.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบรรยากาศและเปรียบเทียบบรรยากาศองค์การของโรงเรียน จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา และศึกษาแนวทางการพัฒนาบรรยากาศองค์การของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 30 คน และครูผู้สอน จำนวน 297 คน รวม 327 คน โดยใช้วิธีกำหนดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ Krejcie and Morgan และสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการสัมภาษณ์ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .985 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบกลุ่มอิสระ (t-test independent) <br />และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) บรรยากาศองค์การของโรงเรียนโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน 2) ผลการเปรียบเทียบบรรยากาศองค์การของโรงเรียน จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่าโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านมาตรฐานการปฏิบัติงาน และด้านโครงสร้างองค์การไม่แตกต่างกัน ส่วนด้านที่เหลือแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แนวทางการพัฒนาบรรยากาศองค์การของโรงเรียน ด้านความอบอุ่นและการสนับสนุน ควรยึดหลักธรรมาภิบาล จัดกิจกรรมให้บุคลากรสานสัมพันธ์ ทำงานเป็นทีม ด้านโอกาสและความเจริญก้าวหน้า ควรสนับสนุนให้บุคลากรพัฒนาตนเองทางวิชาชีพ อย่างเต็มตามศักยภาพอยู่เสมอ ด้านรางวัลตอบแทน ควรใช้หลักความยุติธรรม มีเกณฑ์ให้รางวัลชัดเจนสอดคล้องกับผลการปฏิบัติงาน ด้านมาตรฐานการปฏิบัติงาน ควรใช้หลักนิติธรรม มีนโยบาย แผนการปฏิบัติงานชัดเจน บุคลากรมีส่วนร่วมกำหนดจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติงาน และมีการนิเทศ​ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างเป็นกัลยาณมิตร และด้านโครงสร้างองค์การ ควรแบ่งการบริหารออกเป็น 4 กลุ่ม และกำหนดโครงสร้างองค์การและขอบข่ายหน้าที่การปฏิบัติงานให้ชัดเจน</p> 2024-08-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online) https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/232 แนวทางการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 2024-06-09T20:14:08+07:00 ชนิกานต์ ทุมทุมา 65010581016@msu.ac.th พชรวิทย์ จันทร์ศิริสิร wittaya.c@msu.ac.th <p><strong> </strong>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง 202 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและหัวหน้าวิชาการเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) เสนอแนวทางการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและหัวหน้าวิชาการ จากสถานศึกษาที่มีวิธีปฏิบัติที่ดี 3 แห่ง โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า1)สภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับมากสภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดและความต้องการจำเป็นดังนี้ด้านการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาด้านการเตรียมความพร้อมด้านการดำเนินการใช้หลักสูตร และด้านการนิเทศกำกับ ติดตามและประเมินผล2)แนวทางการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลมีองค์ประกอบ 4 ด้าน 33 แนวทาง ผลการประเมินพบว่าความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-08-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online) https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/233 การพัฒนาชุดกิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษตามแนวการสอนภาษา เพื่อการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะพูด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 2024-04-30T20:59:15+07:00 สยุมพร บุระพร sayumporn.bg65@ubru.ac.th สิริสุดา ทองเฉลิม sirisuda@ubru.ac.th กชกร ธิปัตดี goat@ubru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่1ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่1และ 3) เปรียบเทียบทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่1กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่1ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานภาคเรียนที่2ปีการศึกษา2566จำนวน30คนซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยชุดกิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะการพูด 12 ชุดและแบบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ1ชุดที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง.97 ค่าความยากตั้งแต่.30-.78 ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .31-.72 และค่าความเชื่อมั่น .75 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าร้อยละค่าเฉลี่ยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีประสิทธิผลและการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเท่ากับ 77.69/75.3 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้คือ 75/75 2) ชุดกิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ มีค่าดัชนีประสิทธิผลร้อยละ73.12 หมายความว่า ชุดกิจกรรมการสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษให้นักเรียนมีทักษะ<u>การ</u>พูดภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นร้อยละ 73.12 และ 3) ผลการเปรียบเทียบทักษะการพูดก่อนและหลังเรียนพบว่า นักเรียนมีคะแนนทักษะการพูดภาษาอังกฤษหลังการใช้ชุดกิจกรรม สูงกว่า คะแนนก่อนการใช้ชุดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2024-08-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online) https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/248 โปรแกรมการพัฒนาด้านการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงสำหรับครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 2024-05-20T22:54:44+07:00 วรกมล สุนทะโรจน์ pppraewio@gmail.com พชรวิทย์ จันทร์ศิริสิร wittaya.c@msu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1)ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงสำหรับครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 1 และ 2) พัฒนาโปรแกรมการพัฒนาด้านการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงสำหรับครู งานวิจัยแบ่งออกเป็น2ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอน จำนวน 292 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น ระยะที่ 2 พัฒนาโปรแกรมการพัฒนาด้านการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงสำหรับครูโดยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลจำนวน 6 คน จาก 3 สถานศึกษาที่มีแนวปฏิบัติที่ดี เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโปรแกรม สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงสำหรับครู โดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และลำดับความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ ด้านการกำหนดเครื่องมือการประเมิน 2) โปรแกรมการพัฒนาด้านการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงสำหรับครู ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 4 โมดุล รวมระยะเวลา 80 ชั่วโมง ซึ่งมีผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโปรแกรมจากผู้ทรงคุณวุฒิ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-08-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online) https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/510 ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพบูรณาการการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน รายชีววิทยาของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) 2024-06-11T21:51:17+07:00 วุฒิศักดิ์ บุญแน่น wutthisakcomplete@gmail.com ณิชาพัฒณ์ จิรพันธุ์กุลชาติ nichapat22@gmail.com ณฐมน แสงใสแก้ว nathamon.sa@hotmail.com <p>การพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพบูรณาการการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนโดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน(Phenomenon-Base learning)รายชีววิทยาของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่4โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม(ฝ่ายมัธยม)มีวัตถุประสงค์เพื่อ1)สร้างกระบวนการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้บูรณาการกับการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน 2)เปรียบเทียบทักษะการคิดและการสะท้อนคิดของผู้เรียน และ 3) เปรียบเทียบผลการเรียนรู้ของผู้เรียนด้านความรู้และการพัฒนาการเรียนรู้ตนเองของผู้เรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ปรากฏการณ์เป็นฐานโดยนักเรียนกลุ่มตัวอย่างในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ จํานวน 70 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบประเมินความเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (PLC) ตามแนวทางคุรุสภาแบบประเมินทักษะการคิดและการสะท้อนคิด แบบประเมินตนเองของผู้เรียนและแบบทดสอบประมวลความรู้ชีววิทยาสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ t-test (independent)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้เกิดขึ้นโดยการวางแผนการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนร่วมกับเพื่อนครูในสาขาเดียวกัน มีการเปิดชั้นเรียนเพื่อสะท้อนผลการเรียนร่วมกัน จากผลการประเมิน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) มี ความเป็น PLC ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมากที่สุด ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ทักษะการคิดและการสะท้อนคิดของผู้เรียน กลุ่มที่ 1 และ กลุ่มที่ 2 ไม่มีความแตกต่างกัน ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย คะแนนทดสอบประมวลความรู้ชีววิทยา พบว่า ผู้เรียนมีความรู้ชีววิทยา ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติ ที่ระดับ .05 โดยผู้เรียนกลุ่มที่ 1 มีความรู้ระดับปานกลาง และ ผู้เรียนกลุ่มที่ 2 มีความรู้ใน ระดับมาก และผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย การพัฒนาการเรียนรู้ตนเอง ของผู้เรียน กลุ่มที่ 1 และ กลุ่ม ที่ 2 ไม่มีความแตกต่างกัน</p> 2024-08-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online) https://so20.tci-thaijo.org/index.php/JAD/article/view/513 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการทำงานเป็นทีม และความพึงพอใจในการใช้แพทเลทเป็นเครื่องมือการเรียนรู้แบบร่วมมือในห้องเรียน: กรณีศึกษานิสิตครู มหาวิทยาลัยบูรพา 2024-06-20T10:05:55+07:00 ญาณิกา ลุนราศรี yanika.lu@go.buu.ac.th <p>แพทเลทเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ทำงานร่วมกันออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันของนักเรียน งานวิจัยนี้ศึกษาการใช้แพทเลทเป็นเครื่องมือการเรียนรู้แบบร่วมมือในชั้นเรียน โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย ได้แก่ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตครูก่อนและหลังการใช้แพทเลทเป็นเครื่องมือการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2) เพื่อศึกษาความสามารถในการทำงานเป็นทีมของนิสิตครูหลังการใช้แพทเลท และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนิสิตครูหลังการใช้แพทเลท กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นิสิตครูจำนวน 27 คนที่ลงทะเบียนรายวิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นการศึกษากลุ่มเดี่ยวโดยวัดก่อนและหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์แบบสอบถามความสามารถในการทำงานเป็นทีม และแบบสอบถามความพึงพอใจในการใ ช้แพทเลท สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ Paired Samples T-Test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้แพทเลทเป็นเครื่องมือการเรียนรู้แบบร่วมมือของนิสิตครูมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญโดยคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ความสามารถในการทำงานเป็นทีมของนิสิตครูหลังการใช้แพทเลทเป็นเครื่องมือการเรียนรู้แบบร่วมมืออยู่ในระดับดีเยี่ยม และ 3) ความพึงพอใจของนิสิตครูหลังการใช้แพทเลทเป็นเครื่องมือการเรียนรู้แบบร่วมมืออยู่ในระดับความพึงพอใจอย่างยิ่ง</p> <p><sup> </sup></p> 2024-08-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนิเทศการศึกษา ISSN: 3027 - 8481 (Online)